เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2025, 6 –14 DEC

Honey Dialogues คุยกับนักวิจัยน้ำผึ้งถึงศักยภาพที่ไปไกลกว่ารสหวาน

เผยแพร่เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว

‘Honey Dialogues’

คุยกับนักวิจัยน้ำผึ้งถึงศักยภาพที่ไปไกลกว่ารสหวาน

รศ.ดร.เทิด ดิษยธนูวัฒน์


“หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า” คือคำเปรียบเปรยเก่าก่อนที่สะท้อนถึงความหวานอันเลิศล้ำจากห้วงเวลาที่ดีที่สุดที่ฝูงผึ้งในบ้านเราสามารถผลิตได้


กระนั้น น่าสนใจที่ว่าแม้ “น้ำผึ้ง” จะเป็นหนึ่งในวัตถุดิบประกอบอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในอารยธรรมมนุษย์ และในบ้านเราจะมีผึ้งมากกว่า 100 สายพันธุ์ (จาก 20,000 สายพันธุ์ทั่วโลก) คนไทยส่วนใหญ่ก็กลับคุ้นเคยแค่ความหวานจากน้ำผึ้งดอกลำไย ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักในระบบอุตสาหกรรมอาหารบ้านเราเพียงรสเดียว


“น้ำผึ้งให้รสหวาน แต่ผึ้งสายพันธุ์ต่าง ๆ หรือกระทั่งสายพันธุ์เดียวกันที่อาศัยอยู่ในป่าที่มีลักษณะต่างกัน ก็กลับให้รสหวานที่มีมิติที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในเป้าหมายในการทำงานของผม คือการเปิดมิติของรสชาติให้คนส่วนใหญ่ได้รู้” เบนซ์-วีรวิชญ์ อินทร์ประยงค์ เจ้าของบำรุงสุขฟาร์ม เกษตรกรหนุ่มนักสะสมน้ำผึ้ง หนึ่งในไม่กี่คนของเมืองไทยที่มีน้ำผึ้งไม่ต่ำกว่า 130 รสชาติ กล่าว


เราพบเบนซ์ในนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า (Peoples, Bees, and Forests) ที่จัดขึ้นในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ ครั้งที่ 10 (Chiang Mai Design Week 2024) เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา เขาได้รับเชิญมาเป็นวิทยากรบอกเล่าถึงความหลากหลายของชนิดน้ำผึ้ง รวมถึงเปิดให้ผู้ชมได้ทดลองชิมน้ำผึ้งชนิดต่าง ๆ ซึ่งสามารถจำแนกเฉดรสได้มากถึง 10 เฉด จากรังผึ้งในป่าท้องถิ่นทั่วประเทศ


“ปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือชนิดของผึ้ง ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือผึ้ง และชันโรง (ผึ้งไร้เหล็กใน ในวงศ์ Meliponini ซึ่งพบมากในไทย – ผู้เขียน) โดยในกลุ่มของผึ้งก็มีหลายชนิด เช่น ผึ้งหลวง ผึ้งโพรง ผึ้งมิ้ม ส่วนชันโรงก็สามารถจำแนกได้มากถึง 35 ชนิด” เบนซ์ กล่าว


“น้ำหวานจากชันโรงบางชนิดมีรสคล้ายน้ำผึ้ง เช่น พันธุ์ขนเงิน ถ้วยดำ บางชนิดก็จะออกไปทางน้ำส้ม เช่น อุ้งหมี อีตาม่า ส่วนชันโรงดินจะมีความเป็นยาสูง พวกนี้อาศัยในโพรงดิน ซึ่งชันโรงแต่ละชนิดกินอาหารต่างกัน ทำให้รสชาติน้ำหวานก็ต่างกัน”


เบนซ์มองน้ำผึ้งป่า การเก็บสะสม ไปจนถึงการจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์บำรุงสุขฟาร์มไม่ต่างจากไวน์ เขาอยากให้ลูกค้าเข้าถึงน้ำผึ้งคุณภาพดีและหลากหลาย ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงเป็นความมุ่งหมายทางธุรกิจ แต่ยังเป็นแพสชันทางสังคม – เนื่องจากความหลากหลายและสุขภาพของผึ้งคือเครื่องบ่งชี้ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ การที่คนไทยเข้าถึงน้ำผึ้งได้หลากชนิด ย่อมหมายถึงความยั่งยืนของทรัพยากรป่าในบ้านเราในทางเดียวกัน


ข้อมูลจาก World Integrated Trade Solution (WITS) ระบุว่าเมื่อปี 2567 ไทยสามารถส่งออกน้ำผึ้งไปยังตลาดโลกได้มากถึงปีละ 880 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน (รองจากเวียดนาม) และติดอันดับ 23 ของโลก โดยน้ำผึ้งส่วนใหญ่คือน้ำผึ้งดอกลำไย


“ต้องยอมรับว่าน้ำผึ้งลำไยมีสีกลิ่นรสที่ดีมาก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเพื่อสุขภาพที่สูงพอสมควร อีกทั้งเมืองไทยมีผึ้งน้ำหวานถึง 6 ชนิด อย่างน้ำผึ้งโพรง น้ำผึ้งหลวง ถึงจะเป็นน้ำผึ้งลำไยเหมือนกัน แต่ก็ยังมีความหลากหลายของน้ำผึ้งพอสมควร” อาจารย์เทิด – รศ.ดร.เทิด ดิษยธนูวัฒน์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหนึ่งในทีมงานจัดทำนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า เล่าถึงเหตุผลว่าทำไมน้ำผึ้งกระแสหลักของไทยต้องเป็นน้ำผึ้งลำไย


ควบคู่ไปกับความตั้งใจของเบนซ์ที่พยายามส่งเสริมความหลากหลายของน้ำผึ้ง อาจารย์เทิด เลือกลงลึกไปที่การขยายขีดความสามารถของการเลี้ยงผึ้งในฟาร์มอุตสาหกรรมของบ้านเรา โดยเฉพาะผึ้งชันโรง อันเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ จนนำมาสู่โครงการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผึ้งและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืน (SMART BEE SDGs) เพื่อขยายศักยภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มในการผลิตน้ำผึ้งของเกษตรกรไทย


“นอกจากน้ำผึ้งพันธุ์แล้ว ปัจจุบันเกษตรกรไทยก็สนใจเลี้ยงผึ้งชันโรงเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากมีความดุน้อยกว่า ตัวน้ำผึ้งมีมูลค่าสูงและมีคุณสมบัติส่งเสริมสุขภาพที่ดีมาก ๆ อีกทั้งการจัดงานประชุมกับเกษตรกรหลายครั้งก็เห็นคนรุ่นใหม่สนใจมาเลี้ยงผึ้งกันพอสมควร ถือเป็นสัญญาณที่ดีของวงการว่ายังมีการสานต่อ” อาจารย์เทิด เล่าถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งในไทยในปัจจุบัน


งานวิจัยผึ้งของอาจารย์เทิด ไม่เพียงศึกษาทางเลือกในการเพิ่มศักยภาพและการตรวจสอบคุณภาพในการผลิตน้ำผึ้งในบ้านเรา แต่ยังรวมถึงการต่อยอดวัตถุดิบในกระบวนการผลิตสู่สินค้าอื่น ๆ เช่น การสกัดโปรตีนไหมจากผึ้งเป็นเครื่องสำอางคุณภาพสูง ก่อนจะเผยแพร่องค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรเลี้ยงผึ้งกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ต่อไป


“อีกเรื่องคือการส่งเสริมการผลิตน้ำผึ้งไทยอินทรีย์ เพื่อตลาดมูลค่าสูง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ด้วยนิยามของคำว่าอินทรีย์และการจัดการนั้นยากมาก ต้องมีการศึกษาต่อไป” อาจารย์เทิด กล่าว


นอกจากนี้ อาจารย์เทิด ยังเสริมว่า เราสามารถสร้างโอกาสให้ชาวบ้าน คนเก็บน้ำผึ้ง ได้จากการทำเวิร์กช็อป การสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง การสอนทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือ ให้ข้อมูลใหม่จากการวิจัยให้กับเกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนมีการบริการชุมชม อย่างที่ทีมวิจัย SMART BEE SDGs ซึ่งหาทุนวิจัยมารับตรวจน้ำผึ้งจากชาวบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริมการขายและใช้ได้จริง เกษตรกรหลายท่านเอาไปตั้งโชว์ในการออกบูธทำให้เพิ่มราคาได้ ตลอดจนเปิดตลาดใหม่ ๆ จากการส่งเสริมของภาครัฐและเอกชน


เช่นเดียวกับเบนซ์ อาจารย์เทิดยังเสริมว่าน้ำผึ้งให้ประโยชน์กับมนุษย์เรามากกว่าแค่รสหวาน หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่การมีอยู่ของแมลงตัวน้อยผู้ผลิตความหวานเหล่านี้ จะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


“หากผึ้งหายไปจากระบบนิเวศ เนื่องจากกิจกรรมมนุษย์หลาย ๆ อย่าง อาทิ การใช้สารเคมี การทำเกษตรแบบพืชเชิงเดี่ยว ผึ้งลดลง พืชพันธุ์ก็ผสมพันธุ์ได้ลดลง พืชผักผลไม้ก็จะหายตามไป เช่นเดียวกับสัตว์กินพืชก็จะลดลง และสัตว์กินสัตว์เองก็จะลดลงตาม จนสุดท้ายก็วนกลับมายังมนุษย์เราเองที่อยู่บนสุดในระบบนิเวศจะขาดแคลนอาหาร” อาจารย์เทิด กล่าว


“เมื่อสิ่งแวดล้อมทั้งระบบล่มสลาย มนุษยชาติก็ต้องล่มสลายในที่สุด แต่ถ้ามนุษย์เราอย่างน้อยช่วยกันช่วยปลูกพืชดอกในบริเวณบ้าน รักษาแหล่งน้ำให้ชุ่มชื้น หรือเจอผึ้งไม่ไปทำลายเขา แต่ยิ้มให้เขาสักหน่อย ให้ผึ้งตัวน้อย ๆ เหล่านี้ไปแวะเวียนมาตอม มาช่วยผสมเกสร เพียงเท่านี้ คน ผึ้ง ป่า ก็จะมีกันและกันไปอีกนาน”


นั่นล่ะ จะด้วยการสร้างความรับรู้เรื่องรสอันรุ่มรวยของน้ำผึ้งป่าจากงานของเบนซ์ หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มจากน้ำผึ้งในระบบอุตสาหกรรมของอาจารย์เทิด การมีอยู่อย่างหลากหลายของผึ้ง มีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตพวกเรามากกว่าที่คิด


นิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า (Peoples, Bees, and Forests) จัดแสดงระหว่างวันที่ 7-15 ธันวาคม 2567 ที่ TCDC เชียงใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024)


แชร์