คน ผึ้ง ป่า สำรวจความหวานจากธรรมชาติ และศักยภาพทางเศรษฐกิจจาก "ผึ้ง"

เผยแพร่เมื่อ 4 วันที่แล้ว
เมื่อพูดถึงน้ำผึ้ง เราอาจนึกถึงน้ำหวานข้นหนืดรสชาติหวานละมุนที่มาจากสัตว์ขนาดจิ๋วอย่างผึ้ง ที่สามารถเสริมความหวานตามธรรมชาติให้อาหาร ขนม เครื่องดื่ม หลากหลายชนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผึ้งยังสร้างประโยชน์อันมหาศาลให้สังคมมนุษย์ ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารการกิน
ในงานเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) ที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เรื่องการออกแบบที่คนรักความคิดสร้างสรรค์รอคอย แต่งานครั้งนี้งานดีไซน์วีคเล่าเรื่องไปไกลกว่านั้น ด้วยการนำเสนอ 10 โปรแกรมหลัก ภายใต้แนวคิด SCALING LOCAL หรือการยกระดับศักยภาพท้องถิ่นไปสู่ระดับสากล ผ่านนิทรรศการและโปรเจ็กต์ในหมวดต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนิทรรศการ ‘คน-ผึ้ง-ป่า’ ที่ว่าด้วยเรื่องผึ้ง ๆ
นิทรรศการ คน-ผึ้ง-ป่า ถ่ายทอด เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างคน ผึ้ง และผืนป่า ผ่านการจัดแสดงเอกลักษณ์และความหลากหลายของรสชาติน้ำผึ้งจากภูมิภาคต่าง ๆ และชวนมาทำความรู้จักผึ้ง ฮีโร่ตัวจิ๋วที่อยู่เบื้องหลังความหลากหลายทางชีวภาพของโลกใบนี้ และรับหน้าที่ยิ่งใหญ่อย่างการช่วยรักษาระบบนิเวศในภาพรวมด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ
ในนิทรรศการ คน ผึ้ง ป่า เริ่มต้นด้วยการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างผึ้งกับป่า โดยเล่าว่าผึ้งมีมากกว่า 20,000 ชนิด สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ ผึ้งที่อยู่รวมกันเป็นสังคม (Social Bees) ผึ้งที่อยู่รวมเป็นสังคมมีการแบ่งหน้าที่ที่ชัดเจน ได้แก่ นางพญา ผึ้งงาน และผึ้งตัวผู้ ส่วนอีกกลุ่มคือ ผึ้งที่ใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยว (Solitary Bees) คิดเป็น 90% ของผึ้งทั้งหมด ผึ้งเหล่านี้ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ตัวเมียจะวางไข่แล้วทิ้งรังไป ไม่ดูแลตัวอ่อน ผึ้งกลุ่มนี้มีบทบาททำหน้าที่เป็นผู้ผสมเกสรที่ช่วยให้พืชเติบโตและผลิตผลได้
จากฮีโร่ตัวจิ๋วอย่างผึ้ง จึงนำไปสู่ น้ำผึ้ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ เพราะรสชาติของน้ำผึ้งคือสิ่งที่บอกความอุดมสมบูรณ์ของป่า ซึ่งตัวชี้วัดที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุด ยิ่งป่าไหนมีรังผึ้งเยอะ แสดงว่าป่านั้นยิ่งสมบูรณ์ รังผึ้งบอกได้ถึงว่าปีนั้นแห้งแล้งหรือฝนชุ่มฉ่ำ หรือป่านั้นได้รับการดูแลรักษา เฝ้าระวังไฟป่า พ้นจากการลักลอบทำลายป่าโดยคนในพื้นที่ จนทำให้ระบบนิเวศในป่าเกิดความสมบูรณ์ยาวนาน
โดยในนิทรรศการ โดยในงานจะมีตัวอย่างน้ำผึ้งหลากหลายชนิด ให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ลองลิ้มชิมรสชาติอันหอมหวานและซับซ้อนของน้ำผึ้ง
ความน่าสนใจเกี่ยวกับน้ำผึ้ง คือ มีรสชาติมากถึง 10 รส ได้แก่ รสหวาน หวานหอมกลิ่นดอกไม้ หวานนวล หวานเปรี้ยว หวานขม หวานเย็น หวานเค็ม และอีก 2 รสจากกลิ่นเฉพาะของพื้นที่ที่ชัดเจน เช่น น้ำผึ้งป่าชายเลนก็จะมีกลิ่นเหมือนกลิ่นผลไม้หมัก หรือน้ำผึ้งป่าพรุในระบบนิเวศน้ำกร่อยและน้ำจืดก็จะได้อีกรสหนึ่ง
ในนิทรรศการยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปการทดสอบน้ำผึ้งด้วยวิธีต่าง ๆ ทั้งการทดสอบสี การเขย่าดูฟอง การหยดลงบนกระดาษทิชชู เป็นต้น
ผศ.เทิด ดิษยธนูวัฒน์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ริเริ่มโครงการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผึ้งและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืน เล่าว่า ความจริงแล้วน้ำผึ้งไทยโดยเฉพาะน้ำผึ้งลำไยเป็นสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มปริมาณทุก ๆ ปี แนวโน้มเติบโตไปทางบวก
“นอกจากน้ำผึ้งพันธุ์แล้ว ปัจจุบันเกษตรกรไทยก็สนใจเลี้ยงผึ้งชันโรงเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากมีความดุน้อยกว่า ตัวน้ำผึ้งมีมูลค่าสูงและมีคุณสมบัติส่งเสริมสุขภาพที่ดีมาก ๆ อีกทั้งการจัดงานประชุมกับเกษตรกรหลายครั้งก็เห็นคนรุ่นใหม่สนใจมาเลี้ยงผึ้งกันพอสมควร ถือเป็นสัญญาณที่ดีของวงการว่ายังมีการสานต่อ”
ผศ.เทิด เล่าถึงความน่าสนใจของน้ำผึ้งไทยเทียบกับต่างชาติ โดยอิงจากงานวิจัยของทีม SMART BEE SDGs ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า น้ำผึ้งโดยเฉพาะลำไยมีสีกลิ่นรสที่ดีมาก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเพื่อสุขภาพที่สูงพอสมควร อีกทั้งเมืองไทยมีผึ้งน้ำหวานถึง 6 ชนิด อย่างน้ำผึ้งโพรง น้ำผึ้งหลวง จึงทำให้มีความหลากหลายของน้ำผึ้งเยอะ
“ผึ้งชันโรงบ้านเราก็มีชนิดที่เฉพาะถิ่นหลายตัว และมีความคุณสมบัติดีมากอย่างที่กล่าวไปจึงทำให้มีความพิเศษต่างจากที่อื่น จึงเป็นที่น่าสนใจเพื่อการต่อยอดและแข่งขันกับนานาชาติได้”
นอกจากนี้ ในนิทรรศการยังนำเสนอผลิตภัณฑ์จากน้ำผึ้งที่สรรสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันโดยชุมชนพื้นเมือง สนับสนุนกลุ่มผู้ผลิตน้ำผึ้งจากชุมชนต่าง ๆ ทั่วภาคเหนือ โดยผศ.เทิด เสริมเรื่องการส่งเสริมน้ำผึ้งไทยว่า ภาครัฐของไทยมีส่วนที่รับผิดชอบด้านนี้อยู่ คือ ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านแมลงเศรษฐกิจ ที่สังกัดกรมส่งเสริมการเกษตรหรือเป็นการทำมาตรฐานฟาร์ม โดยกรมปศุสัตว์เองก็มีบทบาทในการขับเคลื่อนนโยบายและ ส่งเสริมการเลี้ยงผึ้ง
“อีกส่วน คือ มหาวิทยาลัย ที่เราช่วยทำวิจัยที่เกี่ยวกับผึ้งในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เป็นข้อมูลในการนำไปเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ รักษาประชากรผึ้ง หรือ ระบุชนิดผึ้งใหม่ ๆ โชคดีที่มหาวิทยาลัยไทยมากกว่า 10 ที่ที่วิจัยเกี่ยวกับผึ้งในหลากหลายมุมมอง ถือว่าไทยเราเข็มแข็งเรื่องงานวิจัยผึ้งมากในวงการผึ้งนานาชาติ”
“เอกชนที่ทำน้ำผึ้งไทยเข็มแข็งมาก มีทั้งระบบกลุ่มเกษตรกร SMEs หรือ โรงงาน ในการซื้อขาย รวมตัวกันแลกเปลี่ยนความรู้ หรือตลอดจนการกำหนดราคาต่าง ๆ”
ในแง่ของการยกระดับและสร้างมูลค่าของน้ำผึ้งไทย เพื่อสร้างโอกาสในเชิงธุรกิจนั้น จะต้องใช้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นข้อมูลในพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และเพิ่มมูลค่าให้เกษตรกร โดยผศ.เทิด เสริมยกตัวอย่างน้ำผึ้งมานูก้าของนิวซีแลนด์ที่ขายได้ราคาสูง ก็ด้วยผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน
“อีกเรื่องคือการส่งเสริมการผลิตน้ำผึ้งไทยอินทรีย์ เพื่อตลาดมูลค่าสูง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ด้วยนิยามของคำว่าอินทรีย์และการจัดการนั้นยากมาก ต้องมีการศึกษาต่อไป”
นอกจากนี้ ผศ.เทิด ยังเสริมว่า เราสามารถสร้างโอกาสให้ชาวบ้าน คนเก็บน้ำผึ้ง ได้จากการทำเวิร์กช็อป การสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง การสอนทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือ ให้ข้อมูลใหม่จากการวิจัยให้กับเกษตรกร สม่ำเสมอ ตลอดจนมีการบริการชุมชม อย่างที่ทีมวิจัย SMART BEE SDGs เราหาทุนวิจัยมารับตรวจน้ำผึ้งจากชาวบ้านฟรี เพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริมการขายและใช้ได้จริง ๆ เกษตรกรหลายท่านเอาไปตั้งโชว์ในการออกบู้ททำให้เพิ่มราคาได้ ตลอดจนเปิดตลาดใหม่ ๆ จากการส่งเสริมของภาครัฐและเอกชน
“หากผึ้งหายไปจากระบบนิเวศ เนื่องจากกิจกรรมมนุษย์หลาย ๆ อย่าง อาทิ การใช้สารเคมี การทำเกษตรแบบพืชเชิงเดี่ยว ผึ้งลดลง พืชพันธุ์ก็ผสมพันธุ์ได้ลดลง พืชผักผลไม้หายไป สัตว์กินพืชก็ลดประชากรลง สัตว์กินสัตว์เองก็จะลดลงตาม จนสุดท้ายก็วนกลับมายังมนุษย์เราเองที่อยู่บนสุดในระบบนิเวศจะขาดแคลนอาหาร”
“เมื่อสิ่งแวดล้อมทั้งระบบล่มสลาย มนุษยชาติก็ต้องล่มสลายในที่สุด แต่ถ้ามนุษย์เราอย่างน้อยช่วยกันช่วยปลูกพืชดอกในบริเวณบ้าน รักษาแหล่งน้ำให้ชุ่มชื้น หรือเจอผึ้งไม่ไปทำลายเขา แต่ยิ้มให้เขาสักหน่อย ให้ผึ้งตัวน้อย ๆ เหล่านี้ไปแวะเวียนมาตอม มาช่วยผสมเกสร เพียงเท่านี้ คน ผึ้ง ป่า ก็จะมีกันและกันไปอีกนาน”
เหล่านี้คือข้อมูลและความน่าสนใจจากนิทรรศการ ที่สะท้อนเรื่องราวของผึ้งซึ่งสัมพันธ์กับมนุษย์และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างที่ใครหลายคนอาจคาดไม่ถึง