เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2025, 6 –14 DEC

อัพเดทและเที่ยวชมงาน

การประชุมเครือข่ายผู้ร่วมจัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week)

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ ได้จัดการประชุมภาคีเครือข่ายผู้ร่วมจัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากการจัดเทศกาลฯ ในปีที่ผ่านมาและรับข้อเสนอแนะ แนวทางการเตรียมจัดงานเทศกาล CMDW2025 จากบรรดานักสร้างสรรค์ รวมถึงองค์กร สถาบันการศึกษา และหน่วยงานในจังหวัดเชียงใหม่ มากกว่า 20 หน่วยงาน ซึ่งในปีนี้ เทศกาลฯ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Local Plus” เพื่อยกระดับเชียงใหม่และภาคเหนือ ให้เป็นพื้นที่ “คิดบวก” เติมพลังสร้างสรรค์แบบเหนือ ๆ เชื่อมโลกด้วยความร่วมมือที่ไม่จำกัด กับปีที่ 11 ของเทศกาลสุดสร้างสรรค์ของภูมิภาคเทศกาล CMDW2025 จะจัดขึ้นในวันที่ 6 – 14 ธันวาคม 2568 มาร่วมสำรวจพลังบวกของคนเหนือ ที่นำไปสู่ผลกระทบเชิงบวกอย่างไม่สิ้นสุด ไปพร้อม ๆ กัน ที่เชียงใหม่!#CMDW2025 #ChiangMaiDesignWeek #LocalPlus

โอกาสดีในการเปลี่ยนพื้นที่ของคุณ ให้กลายเป็นจุดหมายใหม่ของเมือง!

𝗖𝗵𝗶𝗮𝗻𝗴 𝗠𝗮𝗶 𝗗𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 𝗪𝗲𝗲𝗸 𝟮𝟬𝟮𝟱 ขอเชิญเจ้าของพื้นที่ว่าง หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการพัฒนา เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ของคุณให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความคิดสร้างสรรค์ จุดเช็กอินใหม่ของเมือง และพื้นที่แห่งการพบปะ แลกเปลี่ยน ที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อเชียงใหม่ ด้วยแนวคิด “Local Plus” มาร่วมสร้างสรรค์ เชื่อมโยงชุมชน อย่างยั่งยืนสิ่งที่คุณจะได้รับ:– แนวคิดการใช้พื้นที่อย่างสร้างสรรค์ จากนักออกแบบและทีมสร้างสรรค์ชั้นนำ– โอกาสเผยแพร่พื้นที่ผ่านเว็บไซต์ แผนที่เทศกาล และโซเชียลมีเดียของงาน– โอกาสต่อยอดการพัฒนาในเชิงธุรกิจหรือเพื่อสังคม– การเชื่อมต่อกับเครือข่ายนักลงทุนและผู้สนใจพัฒนาโครงการในอนาคต– สิทธิ์ในการนำภาพกิจกรรมไปใช้ประชาสัมพันธ์พื้นที่ในอนาคตอย่าพลาดโอกาสสำคัญนี้!// เปิดรับสมัครแล้ว // https://www.chiangmaidesignweek.com/apply/สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤษภาคม 2568ร่วมเป็นหนึ่งในสถานที่สร้างสรรค์ของเทศกาล 𝗖𝗵𝗶𝗮𝗻𝗴 𝗠𝗮𝗶 𝗗𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 𝗪𝗲𝗲𝗸 𝟮𝟬𝟮𝟱#CMDW2025 #chiangmaidesignweek #LocalPlus

Open Call for CMDW2025

เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2568ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568โอกาสดีที่จะเป็นหนึ่งในฐานะ “นักสร้างสรรค์” ของเทศกาลงานออกแบบระดับประเทศ เติมพลังสร้างสรรค์แบบเหนือ ๆ ยกระดับท้องถิ่นด้วยความร่วมมือที่ไม่จำกัดเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เป็นเวทีรวมพลังนักสร้างสรรค์จากทุกสารทิศ ที่เชื่อว่าการผนึกกำลังของคนในพื้นที่ เมื่อจับมือกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง และผลักดันให้เมืองและชุมชนเติบโตอย่างสร้างสรรค์สู่ทศวรรษใหม่ของเทศกาลออกแบบที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เทศกาลฯ กลับมาพร้อมกับแนวคิด 𝗟𝗢𝗖𝗔𝗟 𝗣𝗟𝗨𝗦 (โลคัล พลัส) ยกระดับเชียงใหม่และภาคเหนือ ให้เป็นพื้นที่ “คิดบวก” สำหรับรองรับไอเดียใหม่ ๆ นวัตกรรม ผู้คน ความสนุกสนาน และเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ เปลี่ยนงานออกแบบให้เป็นมากกว่าความงามและการใช้งาน แต่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้จริงโดยเทศกาลเปิดรับผลงานหรือกิจกรรมจากนักสร้างสรรค์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 ประกอบด้วย1. การจัดแสดง (𝗦𝗵𝗼𝘄𝗰𝗮𝘀𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗘𝘅𝗵𝗶𝗯𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) การจัดแสดงผลงานที่นําเสนอแนวคิดเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิต และสามารถสร้างโอกาสใหม่ในการต่อยอดใช้ได้จริง2. กิจกรรมเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ อีเวนต์ (𝗘𝘃𝗲𝗻𝘁) เวิร์กช็อป (𝗪𝗼𝗿𝗸𝘀𝗵𝗼𝗽) เสวนา (𝗧𝗮𝗹𝗸) ทัวร์ (𝗧𝗼𝘂𝗿) ดนตรีและการแสดง (𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 & 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲)3. ร้านค้าในตลาด 𝗣𝗢𝗣 𝗠𝗮𝗿𝗸𝗲𝘁 เปิดรับร้านค้า สินค้าดีไซน์ แบรนด์ที่สะท้อนศักยภาพพื้นถิ่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Local Sustainable Living) ได้แก่ เครื่องแต่งกาย ไลฟ์สไตล์ ของแต่งบ้านและอาหาร4. สถานที่ (𝗩𝗲𝗻𝘂𝗲) เปิดรับพื้นที่ที่มีศักยภาพสนับสนุนการจัดแสดงโปรเจ็กต์และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอ ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม โกดัง ลานโล่ง เป็นต้น📍สมัครได้ที่: https://www.chiangmaidesignweek.com/apply📢 ประกาศผลการคัดเลือกในวันที่ 15 กรกฏาคม 2568 ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ Chiang Mai Design Weekเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2568 (Chiang Mai Design Week 2024) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 14 ธันวาคม 2568 ณ ย่านกลางเวียง ย่านช้างม่อย-ท่าแพ แล้วพบกันที่เชียงใหม่สามารถดูคู่มือการสมัครได้ที่นี่: https://drive.google.com/file/d/1u26Hl6LJYTz253N_T-ht7iGvg4B8bl3m/view?usp=sharing#CMDW2025 #LocalPlus #ChiangMaiDesignWeek #CreativeCity #BusinessOpportunity #DesignForImpact #CallForCreators

เติมพลังสร้างสรรค์แบบเหนือ ๆ ยกระดับท้องถิ่นด้วยความร่วมมือที่ไม่จำกัด

โลกที่หมุนไว เศรษฐกิจที่ผันผวน สังคมที่พลิกโฉม และธรรมชาติที่เดาใจยาก – เราจะรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างไร ถ้าไม่เริ่มจาก “การร่วมมือกัน” เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week) เป็นเวทีรวมพลังนักสร้างสรรค์จากทุกสารทิศ ที่เชื่อว่าการผนึกกำลังของคนในพื้นที่ เมื่อจับมือกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง และผลักดันให้เมืองและชุมชนเติบโตอย่างสร้างสรรค์สู่ทศวรรษใหม่ของเทศกาลออกแบบที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เทศกาลฯ กลับมาพร้อมกับแนวคิด LOCAL PLUS (โลคัล พลัส) ยกระดับเชียงใหม่และภาคเหนือ ให้เป็นพื้นที่ “คิดบวก” สำหรับรองรับไอเดียใหม่ ๆ นวัตกรรม ผู้คน ความสนุกสนาน และเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ เปลี่ยนงานออกแบบให้เป็นมากกว่าความงามและการใช้งาน แต่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้จริงไม่เพียงการคิดบวก LOCAL PLUS ยังสะท้อนผ่านเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ที่นำไปสู่ผลลัพธ์ไม่จำกัด:“คูณ” (multiply, ×) เพิ่มพลังสร้างสรรค์เป็นทวีคูณ ขยายพื้นที่จัดแสดงจากเชียงใหม่สู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ในภาคเหนือ และเชื่อมพื้นที่ปล่อยของสำหรับนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นสู่ระดับสากล “หาร” (division, ÷) แบ่งปันนวัตกรรมและองค์ความรู้  สร้างพื้นที่กลางสำหรับแชร์ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนความร่วมมือที่ตั้งต้นจากท้องถิ่น เป็นกลไกยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศและ “ลบ” (minus, −) การประสานความร่วมมือเพื่อขจัดข้อจำกัดที่ทำให้ก้าวไม่พ้น ลดการทำงานซ้ำซ้อน ลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาร่วมสำรวจพลังบวกของคนเหนือ ที่นำไปสู่ผลกระทบเชิงบวกอย่างไม่สิ้นสุด (infinity, ∞) ในเทศกาลออกแบบเชียงใหม่ 2568 (Chiang Mai Design Week 2025) ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 6 – 14 ธันวาคม 2568 ที่เชียงใหม่#CMDW2025 #LocalPlus #ChiangMaiDesignWeek

Honey Dialogues คุยกับนักวิจัยน้ำผึ้งถึงศักยภาพที่ไปไกลกว่ารสหวาน

‘Honey Dialogues’ คุยกับนักวิจัยน้ำผึ้งถึงศักยภาพที่ไปไกลกว่ารสหวานรศ.ดร.เทิด ดิษยธนูวัฒน์“หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า” คือคำเปรียบเปรยเก่าก่อนที่สะท้อนถึงความหวานอันเลิศล้ำจากห้วงเวลาที่ดีที่สุดที่ฝูงผึ้งในบ้านเราสามารถผลิตได้กระนั้น น่าสนใจที่ว่าแม้ “น้ำผึ้ง” จะเป็นหนึ่งในวัตถุดิบประกอบอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในอารยธรรมมนุษย์ และในบ้านเราจะมีผึ้งมากกว่า 100 สายพันธุ์ (จาก 20,000 สายพันธุ์ทั่วโลก) คนไทยส่วนใหญ่ก็กลับคุ้นเคยแค่ความหวานจากน้ำผึ้งดอกลำไย ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักในระบบอุตสาหกรรมอาหารบ้านเราเพียงรสเดียว“น้ำผึ้งให้รสหวาน แต่ผึ้งสายพันธุ์ต่าง ๆ หรือกระทั่งสายพันธุ์เดียวกันที่อาศัยอยู่ในป่าที่มีลักษณะต่างกัน ก็กลับให้รสหวานที่มีมิติที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในเป้าหมายในการทำงานของผม คือการเปิดมิติของรสชาติให้คนส่วนใหญ่ได้รู้” เบนซ์-วีรวิชญ์ อินทร์ประยงค์ เจ้าของบำรุงสุขฟาร์ม เกษตรกรหนุ่มนักสะสมน้ำผึ้ง หนึ่งในไม่กี่คนของเมืองไทยที่มีน้ำผึ้งไม่ต่ำกว่า 130 รสชาติ กล่าวเราพบเบนซ์ในนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า (Peoples, Bees, and Forests) ที่จัดขึ้นในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ ครั้งที่ 10 (Chiang Mai Design Week 2024) เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา เขาได้รับเชิญมาเป็นวิทยากรบอกเล่าถึงความหลากหลายของชนิดน้ำผึ้ง รวมถึงเปิดให้ผู้ชมได้ทดลองชิมน้ำผึ้งชนิดต่าง ๆ ซึ่งสามารถจำแนกเฉดรสได้มากถึง 10 เฉด จากรังผึ้งในป่าท้องถิ่นทั่วประเทศ“ปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือชนิดของผึ้ง ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือผึ้ง และชันโรง (ผึ้งไร้เหล็กใน ในวงศ์ Meliponini ซึ่งพบมากในไทย – ผู้เขียน) โดยในกลุ่มของผึ้งก็มีหลายชนิด เช่น ผึ้งหลวง ผึ้งโพรง ผึ้งมิ้ม ส่วนชันโรงก็สามารถจำแนกได้มากถึง 35 ชนิด” เบนซ์ กล่าว“น้ำหวานจากชันโรงบางชนิดมีรสคล้ายน้ำผึ้ง เช่น พันธุ์ขนเงิน ถ้วยดำ บางชนิดก็จะออกไปทางน้ำส้ม เช่น อุ้งหมี อีตาม่า ส่วนชันโรงดินจะมีความเป็นยาสูง พวกนี้อาศัยในโพรงดิน ซึ่งชันโรงแต่ละชนิดกินอาหารต่างกัน ทำให้รสชาติน้ำหวานก็ต่างกัน”เบนซ์มองน้ำผึ้งป่า การเก็บสะสม ไปจนถึงการจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์บำรุงสุขฟาร์มไม่ต่างจากไวน์ เขาอยากให้ลูกค้าเข้าถึงน้ำผึ้งคุณภาพดีและหลากหลาย ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงเป็นความมุ่งหมายทางธุรกิจ แต่ยังเป็นแพสชันทางสังคม – เนื่องจากความหลากหลายและสุขภาพของผึ้งคือเครื่องบ่งชี้ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ การที่คนไทยเข้าถึงน้ำผึ้งได้หลากชนิด ย่อมหมายถึงความยั่งยืนของทรัพยากรป่าในบ้านเราในทางเดียวกันข้อมูลจาก World Integrated Trade Solution (WITS) ระบุว่าเมื่อปี 2567 ไทยสามารถส่งออกน้ำผึ้งไปยังตลาดโลกได้มากถึงปีละ 880 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน (รองจากเวียดนาม) และติดอันดับ 23 ของโลก โดยน้ำผึ้งส่วนใหญ่คือน้ำผึ้งดอกลำไย“ต้องยอมรับว่าน้ำผึ้งลำไยมีสีกลิ่นรสที่ดีมาก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเพื่อสุขภาพที่สูงพอสมควร อีกทั้งเมืองไทยมีผึ้งน้ำหวานถึง 6 ชนิด อย่างน้ำผึ้งโพรง น้ำผึ้งหลวง ถึงจะเป็นน้ำผึ้งลำไยเหมือนกัน แต่ก็ยังมีความหลากหลายของน้ำผึ้งพอสมควร” อาจารย์เทิด – รศ.ดร.เทิด ดิษยธนูวัฒน์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหนึ่งในทีมงานจัดทำนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า เล่าถึงเหตุผลว่าทำไมน้ำผึ้งกระแสหลักของไทยต้องเป็นน้ำผึ้งลำไยควบคู่ไปกับความตั้งใจของเบนซ์ที่พยายามส่งเสริมความหลากหลายของน้ำผึ้ง อาจารย์เทิด เลือกลงลึกไปที่การขยายขีดความสามารถของการเลี้ยงผึ้งในฟาร์มอุตสาหกรรมของบ้านเรา โดยเฉพาะผึ้งชันโรง อันเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ จนนำมาสู่โครงการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผึ้งและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืน (SMART BEE SDGs) เพื่อขยายศักยภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มในการผลิตน้ำผึ้งของเกษตรกรไทย“นอกจากน้ำผึ้งพันธุ์แล้ว ปัจจุบันเกษตรกรไทยก็สนใจเลี้ยงผึ้งชันโรงเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากมีความดุน้อยกว่า ตัวน้ำผึ้งมีมูลค่าสูงและมีคุณสมบัติส่งเสริมสุขภาพที่ดีมาก ๆ อีกทั้งการจัดงานประชุมกับเกษตรกรหลายครั้งก็เห็นคนรุ่นใหม่สนใจมาเลี้ยงผึ้งกันพอสมควร ถือเป็นสัญญาณที่ดีของวงการว่ายังมีการสานต่อ” อาจารย์เทิด เล่าถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งในไทยในปัจจุบันงานวิจัยผึ้งของอาจารย์เทิด ไม่เพียงศึกษาทางเลือกในการเพิ่มศักยภาพและการตรวจสอบคุณภาพในการผลิตน้ำผึ้งในบ้านเรา แต่ยังรวมถึงการต่อยอดวัตถุดิบในกระบวนการผลิตสู่สินค้าอื่น ๆ เช่น การสกัดโปรตีนไหมจากผึ้งเป็นเครื่องสำอางคุณภาพสูง ก่อนจะเผยแพร่องค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรเลี้ยงผึ้งกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ต่อไป“อีกเรื่องคือการส่งเสริมการผลิตน้ำผึ้งไทยอินทรีย์ เพื่อตลาดมูลค่าสูง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ด้วยนิยามของคำว่าอินทรีย์และการจัดการนั้นยากมาก ต้องมีการศึกษาต่อไป” อาจารย์เทิด กล่าวนอกจากนี้ อาจารย์เทิด ยังเสริมว่า เราสามารถสร้างโอกาสให้ชาวบ้าน คนเก็บน้ำผึ้ง ได้จากการทำเวิร์กช็อป การสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง การสอนทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือ ให้ข้อมูลใหม่จากการวิจัยให้กับเกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนมีการบริการชุมชม อย่างที่ทีมวิจัย SMART BEE SDGs ซึ่งหาทุนวิจัยมารับตรวจน้ำผึ้งจากชาวบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริมการขายและใช้ได้จริง เกษตรกรหลายท่านเอาไปตั้งโชว์ในการออกบูธทำให้เพิ่มราคาได้ ตลอดจนเปิดตลาดใหม่ ๆ จากการส่งเสริมของภาครัฐและเอกชนเช่นเดียวกับเบนซ์ อาจารย์เทิดยังเสริมว่าน้ำผึ้งให้ประโยชน์กับมนุษย์เรามากกว่าแค่รสหวาน หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่การมีอยู่ของแมลงตัวน้อยผู้ผลิตความหวานเหล่านี้ จะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้“หากผึ้งหายไปจากระบบนิเวศ เนื่องจากกิจกรรมมนุษย์หลาย ๆ อย่าง อาทิ การใช้สารเคมี การทำเกษตรแบบพืชเชิงเดี่ยว ผึ้งลดลง พืชพันธุ์ก็ผสมพันธุ์ได้ลดลง พืชผักผลไม้ก็จะหายตามไป เช่นเดียวกับสัตว์กินพืชก็จะลดลง และสัตว์กินสัตว์เองก็จะลดลงตาม จนสุดท้ายก็วนกลับมายังมนุษย์เราเองที่อยู่บนสุดในระบบนิเวศจะขาดแคลนอาหาร” อาจารย์เทิด กล่าว“เมื่อสิ่งแวดล้อมทั้งระบบล่มสลาย มนุษยชาติก็ต้องล่มสลายในที่สุด แต่ถ้ามนุษย์เราอย่างน้อยช่วยกันช่วยปลูกพืชดอกในบริเวณบ้าน รักษาแหล่งน้ำให้ชุ่มชื้น หรือเจอผึ้งไม่ไปทำลายเขา แต่ยิ้มให้เขาสักหน่อย ให้ผึ้งตัวน้อย ๆ เหล่านี้ไปแวะเวียนมาตอม มาช่วยผสมเกสร เพียงเท่านี้ คน ผึ้ง ป่า ก็จะมีกันและกันไปอีกนาน”นั่นล่ะ จะด้วยการสร้างความรับรู้เรื่องรสอันรุ่มรวยของน้ำผึ้งป่าจากงานของเบนซ์ หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มจากน้ำผึ้งในระบบอุตสาหกรรมของอาจารย์เทิด การมีอยู่อย่างหลากหลายของผึ้ง มีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตพวกเรามากกว่าที่คิดนิทรรศการคน-ผึ้ง-ป่า (Peoples, Bees, and Forests) จัดแสดงระหว่างวันที่ 7-15 ธันวาคม 2567 ที่ TCDC เชียงใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024)