เจาะโอกาสและความเคลื่อนไหวที่ผลักเชียงใหม่สู่มหานครดนตรี
เผยแพร่เมื่อ 7 ชั่วโมงที่แล้ว
ไม่เพียงงานศิลปะและหัตถกรรม หาก “เสียงดนตรี” คืออีกหนึ่งต้นทุนทางวัฒนธรรมที่หล่อเลี้ยงชีพจรของเชียงใหม่ให้มีชีวิต มีจังหวะ และมีเสน่ห์เฉพาะตัว
จากเสียงซอและบทเพลงล้านนาในวิถีชาวบ้าน สู่โฟล์กซองคำเมืองของ จรัล มโนเพ็ชร ที่ถางเส้นทางให้ศิลปินเชียงใหม่รุ่นใหม่ได้เดินต่อ ศิลปินรุ่นหลังอย่าง Acappella 7, ETC., POLYCAT, Solitude Is Bliss, Yonlapa, เขียนไขและวานิช ต่างสานต่อพลังสร้างสรรค์นั้นด้วยเสียงเพลงที่หลากหลาย ข้ามพรมแดนของแนวเพลงและภาษา เติมเสน่ห์ให้เมืองเชียงใหม่มีชีวิตชีวาในแบบร่วมสมัย ขณะเดียวกัน เมืองก็ยังเต้นไปกับจังหวะของเสียงดนตรีที่ดังขึ้นในทุกย่าน ตั้งแต่บาร์ดนตรีสดเล็ก ๆ ริมทาง ไปจนถึงเวทีใหญ่ที่กลายเป็นหัวใจของค่ำคืนในเมืองนี้
ดนตรีจึงไม่เพียงสะท้อนชีพจรของเชียงใหม่ แต่ยังเป็นแรงขับสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเหตุผลที่ทำให้หลายคนเชื่อว่าเชียงใหม่มีศักยภาพจะก้าวสู่การเป็น “เมืองดนตรี” (Music City) แห่งแรกของไทยอย่างภาคภูมิ
ว่าแต่…อะไรทำให้เชียงใหม่รุ่มรวยด้วยเสียงเพลงเช่นนี้? เราชวนศิลปินและผู้คนในแวดวงดนตรีเชียงใหม่ มาร่วมเปิดมุมมองถึงจุดแข็ง โอกาส และความท้าทายที่เมืองแห่งเสียงเพลงกำลังเผชิญต่อไป
ชา-สุพิชา เทศดรุณ
ศิลปินผู้ก่อตั้งวง คณะสุเทพการบันเทิง เจ้าของบาร์ไลฟ์มิวสิค Chiang Mai Original และผู้จัดอีเวนต์ เชียงใหม่โฮะ! (Chiang Mai Ho!) คอนเสิร์ตที่รวมศิลปินเชียงใหม่ขึ้นมาแสดงเพลงของตนเอง
“เชียงใหม่เป็นเมืองที่เอื้อต่อการทำงานศิลปะมาก ศิลปินที่ย้ายมาที่นี่ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะมีรุ่นพี่ รุ่นน้อง และเพื่อนร่วมทางอยู่ทั่วเมือง เวลามีใครจัดงาน ศิลปินแขนงอื่นก็มักจะมาช่วยกัน จนกลายเป็นเมืองที่ศิลปะเชื่อมผู้คนไว้ด้วยกันจริง ๆ
เมื่อมองในมุมของนักดนตรี สมัยก่อนอยากเล่นเพลงของตัวเองต้องเล่นฟรี แต่ตอนนี้ภาคเอกชนเข้าใจมากขึ้น มีเวทีและพื้นที่ให้ศิลปินได้แสดงผลงาน พร้อมค่าตอบแทนที่เหมาะสม ทว่าปัญหาคือ เรามีศิลปินมากขึ้น แต่ยังไม่มี ‘ผู้ฟัง’ ที่แข็งแรง คนเชียงใหม่กลับฟังเพลงของศิลปินเชียงใหม่น้อยกว่าที่คิด ขณะที่จังหวัดอื่นกลับสนใจเรามากกว่า หรือบางวงต้องไปดังที่กรุงเทพฯ ก่อนถึงจะได้รับการยอมรับ เราอยากให้คนฟังเข้าใจว่า เพลงจากเชียงใหม่ที่ไม่เคยได้ยิน ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดี เพลงดี ๆ มีอยู่มาก แค่ต้องช่วยกันสร้างพื้นที่และวัฒนธรรมการฟังให้เติบโตไปพร้อมกับศิลปิน
ถ้าจะไปถึงจุดนั้นได้ ภาครัฐควรเข้ามามีส่วนสนับสนุนเครือข่ายศิลปินท้องถิ่นอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงจัดอีเวนต์แล้วจ้างวงดังจากกรุงเทพฯ มาเล่นแล้วก็จบ หากมีการจัดสรรงบประมาณและร่วมมือกันสร้างระบบให้อุตสาหกรรมดนตรีท้องถิ่นเติบโตอย่างยั่งยืน หาพื้นที่และเชื่อมโอกาสให้ศิลปินได้แสดงผลงาน สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยศิลปินในจังหวัด แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้เมืองได้อย่างยั่งยืนจริง ๆ”

เอิง-ศุภกานต์ วรินทร์ปราโมทย์
นักดนตรี ผู้ก่อตั้ง Tempo.wav สื่อและนิตยสารดนตรีของเชียงใหม่ที่ช่วยสื่อสารและสนับสนุนดนตรีเชียงใหม่ และหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนให้การบทสนทนาของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับแวดวงดนตรีในเชียงใหม่ในประเด็นปัญหาต่าง ๆ ผ่านกิจกรรม Town Hall
“เราไม่ใช่คนเชียงใหม่ แต่อยากมาเชียงใหม่ เพราะพบว่าวงดนตรีหลายวงที่เราชอบ ส่วนใหญ่มาจากเชียงใหม่หมดเลย ที่นี่มันมีระบบนิเวศที่เอื้อคนทำงานสร้างสรรค์สามารถทำงานโดยมีลายเซ็นของตัวเอง และสิ่งนี้ดึงดูดให้ใครหลายคนมาใช้ชีวิตที่นี่ รวมถึงเราเอง
เนื่องจากเราเห็นโอกาสตรงนี้ เราเลยอยากมีส่วนขับเคลื่อนแวดวงดนตรีเชียงใหม่ไปพร้อมกัน จึงเริ่มทำโครงการ Tempo.wav เพื่อสร้างพื้นที่กลางให้วงดนตรีท้องถิ่นได้แสดงผลงาน และเปิดให้คนฟังได้มาสัมผัสดนตรีใหม่ ๆ โดยตรง
Tempo.wav ไม่ได้เป็นแค่คอนเสิร์ตหรืออีเวนต์ แต่เป็นพื้นที่ทดลองที่เชื่อมโยงศิลปินกับผู้ฟัง เราอยากสร้างระบบสนับสนุนแบบยั่งยืน ทั้งให้ศิลปินมีรายได้จากงานของตัวเอง และสร้างความเข้าใจให้คนฟังเห็นคุณค่าของการสนับสนุนดนตรีในท้องถิ่น เราจัดทั้งโชว์ เสวนา เวิร์กช็อป ตลาดเพลงเล็ก ๆ รวมถึงการหาทุนมาทำนิตยสารรายเดือน เพื่ออัพเดตแวดวงดนตรีท้องถิ่น เพื่อให้คนฟังได้รู้ว่ากว่าจะเกิดหนึ่งเพลงมันผ่านอะไรมาเยอะมาก
ที่เราทำมันอาจจะเป็นความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ แต่ดีที่เราไม่ได้ทำอยู่กลุ่มเดียว ยังมีเครือข่ายนักดนตรีและนักฟังอีกเยอะที่ช่วยขับเคลื่อนในพื้นที่ของตัวเอง หรือการได้เห็น CEA เชียงใหม่ จัดอีเวนต์ส่งเสริมศิลปินท้องถิ่น ก็ถือเป็นการช่วยโปรโมทได้มาก ซึ่งนั่นล่ะ กลับมาที่ประเด็นสำคัญ ถ้าภาครัฐตื่นตัวและสนับสนุนศิลปินท้องถิ่นมากกว่านี้ เชียงใหม่ รวมถึงเมืองอื่น ๆ มันน่าจะเติบโตไปได้ไกลกว่าที่เป็นมาก”

ซี-สิโมนา มีสายญาติ และมาย-ดนตรี ศิริบรรจงศักดิ์
ศิลปิน ดีเจ และผู้ก่อตั้ง POY Festival เทศกาลดนตรีและแผ่นเสียงของเชียงใหม่ ที่อยากสร้างคอมมูนิตี้ทางดนตรีในเชียงใหม่
“ในฐานะคนที่ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ เรารู้สึกว่าเมืองนี้เปิดกว้างมาก มันให้เรามีอิสระที่จะเป็นตัวเองได้เต็มที่ ไม่ต้องปรับให้เข้ากับใคร ที่นี่ไม่มีกรอบว่าไปที่ไหนต้องแต่งตัวแบบไหนหรือพูดแบบไหน ทุกย่านมีอัตลักษณ์ของตัวเอง มีทั้งคาเฟ่ ร้านเหล้า ร้านดนตรี ที่แต่ละแห่งก็มีแนวทางและกลุ่มคนของตัวเอง เราเลยรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องพยายามอะไรเลย และนั่นทำให้เราสบายใจเวลาได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางดนตรีและผู้คนแบบนี้
ในแวดวงดนตรีก็เหมือนกัน นักดนตรีต่างชาติที่มาเที่ยวเชียงใหม่มักจะสามารถขึ้นแจมกับวงในเมืองได้ทันที เพราะวงที่นี่เปิดรับตลอด พร้อมทดลองอะไรใหม่ ๆ เสมอ บางคืนก็มีคนเต้นแท็ปแดนซ์ขึ้นมาแจมเฉย ๆ ทุกคนก็ยิ้มแย้ม มีความสุข นี่คือเสน่ห์ของเชียงใหม่ เป็นเมืองที่คล้ายหม้อหลอมวัฒนธรรมอันเต็มไปด้วยความเปิดใจของผู้คน
แต่ถ้าอยากให้เชียงใหม่ก้าวไปสู่การเป็น ‘เมืองดนตรี’ จริง ๆ จังหวัดต้องชูดนตรีให้เป็นจุดขายหลักของเมืองก่อน เราได้ยินนักท่องเที่ยวต่างชาติพูดบ่อยมากว่าเขาไม่รู้เลยว่าเชียงใหม่มีวงดนตรีดี ๆ แบบนี้อยู่ที่นี่ พอมาเจอกลับกลายเป็นเรื่องแปลกใหม่ ถ้าเรามีระบบประชาสัมพันธ์หรือการสื่อสารที่ดี เชียงใหม่จะกลายเป็นจุดหมายทางดนตรีที่คนตั้งใจมาเที่ยวโดยเฉพาะ และจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ให้เมืองได้มหาศาล แต่ตอนนี้เศรษฐกิจเชียงใหม่ยังผูกอยู่กับฤดูกาลท่องเที่ยวมากเกินไป พอถึงช่วงโลว์ซีซั่นทุกอย่างก็ซบเซา ดนตรีจึงยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”
เวลาคนในวงการดนตรีเชียงใหม่คุยกัน ก็จะถามกันเสมอว่า ถ้าอยากให้ระบบนิเวศทางดนตรีแข็งแรง ต้องเริ่มจากตรงไหนก่อน ระหว่างสถานที่เล่น วงดนตรี หรือคนฟัง ซึ่งจริง ๆ แล้วทุกอย่างต้องเดินไปด้วยกัน ปัญหาตอนนี้คือศิลปินต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ทำเพลงแล้วปล่อยขึ้นไป เห็นแต่ยอดฟัง ไม่เห็นหน้าแฟนเพลงจริง ๆ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับผู้ฟังเลยค่อย ๆ หายไป ทั้งที่มันเป็นหัวใจของดนตรี เราเลยพยายามสร้างคอมมูนิตี้ผ่านเทศกาลดนตรี เพื่อให้คนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ให้ศิลปินได้เจอคนฟังของตัวเอง และให้คนฟังรู้สึกว่าเขามีส่วนร่วมกับดนตรีของเมืองนี้ด้วย”
ท้ายที่สุด มันต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งศิลปิน ภาคเอกชน และภาครัฐ ที่ต้องลงมาทำความเข้าใจและวางแผนร่วมกัน ถ้าเราสามารถทำให้ระบบทั้งหมดมันเชื่อมกันได้ ดนตรีเชียงใหม่จะไม่ใช่แค่เสียงสะท้อนของเมืองอีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยั่งยืนได้จริง ๆ”

เมธ-สุเมธ ยอดแก้ว
สมาชิกวง Migrate to The Ocean ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Minimal Records และผู้จัดเทศกาล LABBfest.2024
“การที่เมืองมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนสำคัญคือเชียงใหม่เปรียบเหมือนเมืองหลวงของภาคเหนือ ที่ดึงดูดคนในจังหวัดรอบข้างและภาคอื่น ๆ มาหาโอกาสใหม่ ๆ จากเมืองนี้ ที่นี่จึงมีมิวสิคซีน (music scene) ที่แข็งแรงและหลากหลาย เรามีวงดนตรีฝีมือดี ๆ เยอะ และนั่นคือเหตุผลทำให้ผมสามารถทำค่ายเพลงมาได้ถึงสิบปี
แม้ดูเหมือนเราจะมีผู้เล่นมากมายเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ยากที่สุดในปัจจุบันคืออะไรรู้ไหม… ‘คนฟัง’ ครับ ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน เรามีพื้นที่แสดงน้อยมาก แต่เมื่อมีอีเวนต์เกิดขึ้น คนตามไปฟังเยอะมาก ๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่เล่นมี แต่คนดูไม่มีซะงั้น
นี่คือปัญหาของวงใหม่ๆ ยุคหลังนี้เลย คอมมูนิตี้มันไม่แข็งแรง ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากโซเชียลมีเดียที่ทำให้คนแยกกันมากขึ้นก็ได้ เช่นนั้นแล้ว ถ้าจะมีการสนับสนุน เราคิดว่าต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องคนฟังนี่แหละ
เรามองว่ามันต้องมีพื้นที่ที่ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างวงดนตรีกับคนฟัง สร้างความรับรู้และดึงคนเชียงใหม่ให้ใกล้ชิดกับดนตรีเชียงใหม่มากขึ้น เราอยากจะให้เกิดพื้นที่แบบ ‘เชียงใหม่มิวสิคเซ็นเตอร์’ เป็นพื้นที่ที่ีรวมทุกอย่างเกี่ยวกับดนตรี มีร้านแผ่นเสียง มีคาเฟ่ มีห้องอัด มีประวัติศาสตร์ดนตรีเชียงใหม่ มีไลฟ์เฮ้าส์ อะไรที่เกี่ยวกับดนตรีอยู่ด้วยกัน เพื่อดึงให้คนสามารถมาใช้เวลาและใกล้กับดนตรีมากกว่านี้ มันต้องสร้างความสัมพันธ์ตรงนี้กลับมาก่อนนะ
โดยหนึ่งในความพยายามของเราซึ่งทำต่อเนื่องมาหลายปี นั่นคือการร่วมกับ CEA เชียงใหม่ จัด LaBBFest. เทศกาลดนตรีนานาชาติที่เชื่อมศิลปินในภาคเหนือได้แสดงผลงานต่อโปรโมเตอร์ ค่ายเพลง และผู้จัดงานดนตรีทั้งในและต่างประเทศ ในทุกช่วงเทศกาลออกแบบเชียงใหม่ (Chiang Mai Design Week)
ที่ผ่านมา เราสามารถทำให้วงดนตรีหลาย ๆ วงสามารถได้ออกทัวร์และร่วมเทศกาลดนตรีในต่างประเทศ รวมถึงสามารถเซ็นสัญญากับค่ายเพลงได้ เราเชื่อว่าถ้าเมืองเรามีโมเดลความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนแบบนี้อีกมาก ๆ นิเวศอุตสาหกรรมดนตรีบ้านเรามันน่าจะแข็งแรง และส่งเสริมนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นให้เข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ มากกว่านี้”

