จาก Blue Zone ถึง Blue Ocean โอกาสทางเศรษฐกิจจากสังคมสูงวัยเชียงใหม่

เผยแพร่เมื่อ 5 วันที่แล้ว
จาก Blue Zone ถึง Blue Ocean โอกาสทางเศรษฐกิจจากสังคมสูงวัยเชียงใหม่
เมื่อต้นทุนครบ แต่เมือง (อาจ) ยังไม่พร้อม
ภายในปี พ.ศ. 2578 ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาแห่งแรกของโลกที่เข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด” (Super-aged Society) หรือมีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากกว่าร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ
แต่ไม่ต้องรอถึงวันนั้น เพราะในวันนี้ เราก็ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะไม่ว่าจะมองไปที่จังหวัดไหน ก็ล้วนมีสัดส่วนประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไป เกินร้อยละ 20 อย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในเมืองที่สะท้อนภาพดังกล่าวได้ชัด คือ “เชียงใหม่” จังหวัดที่เพิ่งได้รับการจัดอันดับว่ามีพื้นที่มากที่สุดในประเทศ และเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุสูงสุด
จากข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ (ปี 2566) เชียงใหม่มีผู้สูงอายุถึง 404,512 คน คิดเป็นร้อยละ 24.08 ของประชากรทั้งจังหวัด โดยตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมจำนวนผู้เกษียณจากต่างประเทศ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ต่างเลือกเชียงใหม่เป็นที่พำนักในวัยปลายของชีวิต
สิ่งนี้อาจชี้ให้เห็นผลกระทบที่จะตามมาในเมืองที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจภาคบริการและแรงงานเป็นหลักอย่างเชียงใหม่ หากในอีกมุมหนึ่ง วิกฤตสังคมสูงวัยที่เรากำลังเผชิญก็สามารถเป็นโอกาสได้เช่นกัน
Blue Zone เมื่อเมืองยั่งยืน ผู้คนจึงอยู่ยาว
ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษมิลเลเนียม ดร.มิเชล ปูลาแล็ง (Dr.Michel Poulain) นักประชากรศาสตร์ชาวเบลเยียม และ ดร.เจียนนี เปส (Dr.Gianni Pes) นักระบาดวิทยาชาวอิตาเลียน ตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดภูมิภาคบาร์บาเกีย (Barbagia) บนเกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี ถึงมีอัตราของผู้มีอายุยืนสูงกว่าค่าอายุเฉลี่ยของผู้คนทั่วโลก พวกเขาเริ่มศึกษาปัจจัยเบื้องหลัง และใช้ปากกาหมึกสีน้ำเงินวงกลมรอบพื้นที่ดังกล่าวบนแผนที่
ข้อมูลจากการศึกษาถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Experimental Gerontology ในปี 2547 ก่อนที่ แดน บิวต์เนอร์ (Dan Buettner) นักเขียนจาก National Geographic ที่ร่วมทำงานวิจัยกับนักวิชาการทั้งสองท่าน ได้ขยายพื้นที่การศึกษาเรื่องนี้ต่อจนเกิดเป็นบทความสารคดี และหนังสือ Blue Zone ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2551 และด้วยเหตุนี้ Blue Zone จึงเป็นที่จดจำในฐานะพื้นที่ ดินแดน หรือเมืองที่มีผู้คนอายุยืนกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทั้งยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย
โอกินาวา (ญี่ปุ่น) ซาร์ดิเนีย (อิตาลี) นิโคยา (คอสตาริกา) อิคาเรีย (กรีซ) โลมา ลินดา (สหรัฐอเมริกา) และสิงคโปร์ คือ 6 เมืองแรกที่ได้รับการขีดวงด้วยปากกาสีน้ำเงิน ซึ่งแดนได้ค้นพบ 6 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมืองเหล่านี้เป็นมิตรกับผู้สูงวัย นั่นคือ
1) การที่ผู้คนในเมืองมีวัตถุประสงค์ในการใช้ชีวิต
2) พวกเขากินอาหารน้อยแต่พอดี (ประมาณ 80% ของความอิ่ม)
3) มีโภชนาการที่เน้นพืช ผัก ถั่ว ปลา ไขมันดี
4) มีความสัมพันธ์ทางสังคมและครอบครัวแน่นแฟ้น
5) มีชุมชนศาสนาหรือความเชื่อเป็นที่พึ่งพิง
6) มีวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบ พักผ่อนอย่างมีคุณภาพ
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของบุคคลเพียงลำพัง หากยังต้องอาศัยสภาพแวดล้อมของเมืองที่เอื้ออำนวย ตั้งแต่บรรยากาศที่ผ่อนคลาย ความหลากหลายของอาหาร การเข้าถึงสุขภาพ ไปจนถึงเครือข่ายความสัมพันธ์ในชุมชน
เมื่อมองกลับมาที่เชียงใหม่—เมืองที่ตั้งใกล้ชิดกับธรรมชาติ รุ่มรวยด้วยศิลปวัฒนธรรม ผู้คนมีวิถีชีวิตที่เนิบช้าผ่อนคลาย แลยังสามารถเข้าถึงอาหารการกินที่มีคุณภาพและหลากหลาย ฯลฯ อีกทั้ง เมืองยังมีผู้สูงอายุเกินค่าเฉลี่ย หรือมีอายุมากกว่า 100 ปี มากถึง 1,152 คน (สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากกรุงเทพมหานคร และนนทบุรี) เมื่อพิจารณาจากต้นทุนดังกล่าว ว่าไปแล้ว เชียงใหม่ก็มีศักยภาพไม่น้อยที่จะได้รับการขีดวงสีน้ำเงินบนแผนที่
Ready Set Old: แก่ ดี มีสุข
ข้อเสนอเรื่องการยกระดับเชียงใหม่ให้เป็น Blue Zone ถูกยกนำมาถกเถียงครั้งแรกในนิทรรศการ Ready Set Old: แก่ดี มี สุข นิทรรศการที่เกิดจากความร่วมมือของ CEA, กมลกานต์ โกศลกาญจน์, กริยา บิลยะลา, THINKK Studio และ STUDIO 150 ซึ่งจัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024)
นิทรรศการพาไปสำรวจต้นทุนและความพร้อมในมิติต่าง ๆ ของเมืองเชียงใหม่ในการรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงวัย ขณะเดียวกันก็ชวนให้สำรวจโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ ผ่านอาชีพที่รองรับ Blue Zone ผ่าน 4 องค์ประกอบสำคัญ อย่างการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพที่หลากหลาย (ซึ่งนิทรรศการชี้ให้เห็นโอกาสในการต่อยอดสู่ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย) กิจวัตรประจำวันที่เอื้อให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ (อาชีพเทรนเนอร์สำหรับผู้สูงวัย หรือครีเอเตอร์ด้านสุขภาพ) การมีที่อยู่อาศัยที่ครบพร้อมและยังคงความสัมพันธ์แบบครอบครัวขนาดใหญ่ (นักเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบองค์รวม หรือบริการด้านการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงวัย) และการมีเป้าหมายชีวิตผ่านการยึดเหนี่ยวทางศาสนาและศิลปวัฒนธรรม (อาชีพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม)
แม้จะขึ้นต้นด้วยสีน้ำเงิน (Blue) เหมือนกัน แต่ Blue Zone ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรที่สอดพ้องไปกับ Blue Ocean หรือนิยามของพื้นที่ทางธุรกิจที่ยังไม่ค่อยมีการแข่งขัน
แต่กระนั้น เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบข้างต้นทั้งหมด ความพร้อมต่อการเป็น Blue Zone ของเชียงใหม่ ก็อาจนำไปสู่การสร้างพื้นที่ทางเศรษฐกิจใหม่ภายใต้นิยาม Blue Ocean ได้เช่นกัน
โอกาสที่ (อาจ) ยังไม่เติมเต็ม
ในขณะที่นิทรรศการ Ready Set Old: แก่ดี มี สุข นำเสนอโอกาสในการพัฒนาอาชีพหรือเปิดธุรกิจใหม่ ๆ ที่รองรับกับการเป็นเมืองผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ของเชียงใหม่ ในช่วงท้ายของนิทรรศการ ก็ยังเปิดให้ผู้ชมร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึง “ข้อจำกัด” บางประการที่อาจทำให้เชียงใหม่ไม่สามารถสร้าง Blue Zone ดังที่ แดน บิวต์เนอร์ ได้เสนอไว้
“การขาดแคลนพื้นที่สีเขียว” และ “มลภาวะทางอากาศ” คือความท้าทายหลัก ที่ผู้ชมนิทรรศการฯ ได้เสนอแนะไว้ ขณะที่บางส่วนมองว่าการที่เชียงใหม่ยังไม่มี “ระบบขนส่งมวลชน” และ “ทางเท้าที่สะดวก” ก็ถือเป็นอุปสรรคสำคัญรองลงมา เช่นเดียวกับสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุจากภาครัฐที่ยังน้อยเกินไป และเมืองยังขาด “พื้นที่เพื่อผู้สูงอายุ” ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครอบคลุม
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงนโยบายรองรับหรือยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของเมืองเชียงใหม่ ทั้งในระดับหน่วยปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัด แม้จะมีความพยายามขับเคลื่อนในรูปแบบข้อเสนอเชิงนโยบายจากหน่วยการศึกษาต่าง ๆ (อาทิ วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ https://www.lifelong.cmu.ac.th/medee/content/e4aef79ae30907cf0987b9f7016b068f หรือแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ https://www.m-society.go.th/ewtadmin/ewt/MSO_WEB_NEW/news_view.php?nid=41364) หากยังไม่พบนโยบายใดได้ที่ถูกพัฒนาเป็นรูปธรรม รวมถึงแผนการยกระดับศักยภาพที่เมืองมี สู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่รองรับโอกาสในเรื่องนี้แต่อย่างใด
“จริง ๆ เชียงใหม่ก็มีพื้นที่เพื่อผู้สูงอายุพอสมควรนะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่เอกชนที่มีค่าใช้จ่าย ขณะที่พื้นที่ของรัฐเอง มีค่อนข้างจำกัด และไม่มีการประชาสัมพันธ์เท่าที่ควร” ป้าแดง – นฤมล คลังวิเชียร หนึ่งในคณะกรรมการชุมชนพวกแต้ม ให้ความเห็น
“ป้าว่าในเมื่อเมืองเราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ การมีพื้นที่กิจกรรม หรือการผ่อนคลายสำหรับผู้สูงอายุ ควรเป็นสวัสดิการหลักที่รัฐต้องจัดหาให้อย่างเท่าเทียม”
เช่นเดียวกับมุมมองของ ป้านิด-วนิดา อินทวงศ์ ข้าราชการเกษียณ ที่มองว่าแม้วิถีชุมชนในเมืองเชียงใหม่ เอื้อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ถ้ามีหน่วยงานมาส่งเสริมให้นิเวศการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุสามารถต่อยอดเป็นอาชีพเสริมได้อย่างยั่งยืน สิ่งนี้จะช่วยดึงดูดให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีความน่าอยู่ขึ้นได้อีกมาก
“เรามีศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพผู้สูงอายุ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เพิ่งเปิดศูนย์ผู้สูงอายุ (ศูนย์ส่งเสริมพฤตพลังผู้สูงอายุ – https://www.swc.cmu.ac.th/ ) ไปไม่นาน แต่ก็ยังเป็นพื้นที่ที่จำกัด และหลายโครงการก็มีค่าใช้จ่าย ป้าคิดว่าหน่วยงานระดับเมือง ควรมีการบูรณาการพื้นที่เหล่านี้ และเอื้อให้ผู้สูงวัยเข้าถึงการใช้บริการโดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด หรือไม่มีเลยยิ่งดี” ป้านิด กล่าว
เหล่านี้ คือเสียงสะท้อนบางส่วนจากคน “วงใน” ที่ชี้ว่าถ้ารัฐเข้ามาอุดช่องว่างที่เมืองขาด ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานของเมือง ไปจนถึงการบูรณาการการทำงานและทรัพยากรที่เมืองมี สิ่งนี้จะสามารถต่อยอดให้เชียงใหม่ ไม่เป็นเพียง “เมืองต้นแบบด้านสุขภาวะ” สำหรับผู้สูงวัย แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ทำให้ความแก่ชรามีความหมาย
และนั่นไม่เพียงอาจทำให้เชียงใหม่กลายเป็น Blue Zone ลำดับที่ 7 ของโลก แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยน Blue Zone ให้กลายเป็น Blue Ocean ที่มี “ผู้สูงวัย” เป็นทั้งกลุ่มเป้าหมายรวมถึงพลังสำคัญในการขับเคลื่อน
นิทรรศการ Ready Set Old แก่ ดี มีสุข จัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 ระหว่างวันที่ 7 – 12 ธันวาคม 2567 ณ TCDC เชียงใหม่
ที่มา:
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK298903/